5 เกล็ดความรู้เกี่ยวกับการดูแลเส้นผม

เส้นผม,การดูแล

เส้นผมเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมบุคลิกภาพและความมั่นใจให้กับเรา แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่าพฤติกรรมบางอย่างที่ทำเป็นประจำอาจทำร้ายเส้นผมโดยไม่รู้ตัว มาดู 5 เกร็ดความรู้เกี่ยวกับการดูแลเส้นผม ที่จะช่วยให้คุณมีผมสวย แข็งแรง และเงางามกันค่ะ!

1.สระผมทุกวันดีหรือไม่?

หลายคนสงสัยว่า “การสระผมทุกวันดีหรือไม่?” บางคนเชื่อว่าสระผมทุกวันช่วยให้ผมสะอาด สุขภาพดี ในขณะที่บางคนบอกว่าการสระผมทุกวันทำให้ผมแห้งเสียและหลุดร่วงง่าย แล้วจริงๆ แล้ว ควรสระผมทุกวันหรือไม่? คำตอบขึ้นอยู่กับ สภาพหนังศีรษะ และ ลักษณะเส้นผมของแต่ละคน ค่ะ!

1. ใครที่ควรสระผมทุกวัน?

การสระผมทุกวัน อาจเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีหนังศีรษะมันหรือใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นและเหงื่อสะสมง่าย เช่น

คนที่มีหนังศีรษะมันมาก → ผลิตน้ำมันออกมาตลอดเวลา ทำให้ผมเหนียวเร็ว
คนที่ออกกำลังกายทุกวัน → เหงื่อสะสมอาจทำให้รู้สึกไม่สะอาดและมีกลิ่นอับ
คนที่ทำงานกลางแจ้งหรืออยู่ในที่มีมลภาวะสูง → ฝุ่น ควัน อาจทำให้เส้นผมสกปรกเร็วขึ้น
คนที่ใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมทุกวัน → เจล สเปรย์ หรือมูสที่ตกค้างบนผมอาจอุดตันรูขุมขน

เคล็ดลับ:

  • ใช้แชมพูสูตรอ่อนโยนที่ไม่มีซัลเฟต (SLS) และสารเคมีรุนแรง
  • สระด้วยน้ำอุณหภูมิห้องหรืออุ่นเล็กน้อย หลีกเลี่ยงน้ำร้อน
  • ควรใช้ครีมนวดเฉพาะที่ปลายผม ไม่ต้องชโลมถึงหนังศีรษะ

2. ใครที่ไม่ควรสระผมทุกวัน?

หากคุณมีลักษณะผมและหนังศีรษะตามนี้ การสระผมทุกวัน อาจทำให้เกิดปัญหาผมแห้งเสียได้

คนที่มีผมแห้งหรือผมหยักศก → ผมประเภทนี้มีแนวโน้มสูญเสียความชุ่มชื้นง่าย
คนที่หนังศีรษะแพ้ง่าย → การสระผมบ่อยๆ อาจทำให้เกิดการระคายเคือง
คนที่ทำสีผม หรือผ่านการทำเคมี (ดัด ยืด ฟอกสี) → ผมจะสูญเสียโปรตีนและแห้งเสียมากขึ้น

ทางเลือกที่ดีกว่า:

  • ควรสระผม วันเว้นวัน หรือ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
  • ใช้ Dry Shampoo (สเปรย์แชมพูแห้ง) เพื่อช่วยดูดซับความมันแทน
  • ใช้ครีมนวดผม หรือทรีตเมนต์บำรุงเส้นผมเพื่อรักษาความชุ่มชื้น

สรุป: สระผมทุกวันดีไหม?

“ดี” สำหรับคนที่มีหนังศีรษะมันมาก ออกกำลังกายบ่อย หรืออยู่ในที่มีมลภาวะสูง
“ไม่ดี” สำหรับคนที่มีผมแห้ง หนังศีรษะแพ้ง่าย หรือผ่านการทำเคมีบ่อยๆ

คำแนะนำ:
👉 หากไม่จำเป็น ควรสระผมวันเว้นวัน หรือ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อรักษาสมดุลของน้ำมันธรรมชาติบนหนังศีรษะ
👉 หากต้องสระผมทุกวัน ควรเลือกแชมพูสูตรอ่อนโยนและหลีกเลี่ยงน้ำร้อน

📌 สังเกตสภาพเส้นผมและหนังศีรษะของตัวเอง แล้วเลือกวิธีที่เหมาะสมกับคุณ จะช่วยให้ผมแข็งแรง สวยสุขภาพดีขึ้นค่ะ!

2.หวีผมตอนเปียก เสี่ยงผมขาดจริงไหม?

คำตอบคือ “จริง” แต่มีข้อยกเว้นบางกรณี! การหวีผมตอนเปียกสามารถทำให้ เส้นผมขาดง่ายขึ้น เพราะในขณะที่ผมเปียก เส้นผมจะ อ่อนแอและยืดตัวได้มากขึ้น กว่าตอนแห้ง ซึ่งทำให้เกิดการฉีกขาดได้ง่าย หากหวีแรงๆ หรือใช้หวีที่ไม่เหมาะสม

ทำไมการหวีผมตอนเปียกถึงทำให้ผมขาด?

เส้นผมขยายตัวเมื่อเปียกน้ำ → เมื่อผมดูดซับน้ำ เกล็ดผม (Cuticle) จะเปิดออก ทำให้เส้นผมอ่อนแอและขาดง่าย
ความยืดหยุ่นของเส้นผมเพิ่มขึ้น → ผมเปียกสามารถยืดได้มากกว่าปกติถึง 30% และหากดึงแรงเกินไป อาจทำให้เส้นผมหักหรือเสียหาย
หวีที่แข็งหรือหวีซี่ถี่อาจทำให้ผมพันกันและขาดง่าย → หากใช้หวีที่ไม่เหมาะสม อาจเกิดแรงดึงรั้ง ทำให้ผมหลุดร่วงมากขึ้น

แต่ถ้าจำเป็นต้องหวีผมตอนเปียก ควรทำอย่างไร?

ใช้หวีซี่ห่าง หรือหวีไม้ → หวีประเภทนี้ช่วยลดแรงดึงและลดไฟฟ้าสถิต ทำให้หวีได้ง่ายขึ้น
เริ่มหวีจากปลายผมก่อน → ใช้มือสางเบาๆ แล้วเริ่มหวีจากปลายผมขึ้นไปถึงโคน เพื่อลดปัญหาผมพันกัน
ใช้ครีมนวดหรือเซรั่มบำรุงผมก่อนหวี → ทำให้เส้นผมลื่นขึ้น ลดการเสียดสีและการขาดหลุดร่วง
หลีกเลี่ยงการหวีผมขณะผมเปียกโชก → ควรใช้ผ้าขนหนูซับผมเบาๆ แล้วปล่อยให้แห้งหมาดก่อนหวี

3.น้ำมันใส่ผมดีจริงไหม?

การใช้น้ำมันใส่ผมเป็นวิธีบำรุงผมที่ได้รับความนิยมมานาน แต่หลายคนอาจสงสัยว่า “น้ำมันใส่ผมดีจริงหรือไม่?” คำตอบคือ “ดีมาก” หากเลือกใช้อย่างถูกต้อง! น้ำมันใส่ผมช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการชี้ฟู ป้องกันผมแตกปลาย และทำให้ผมเงางามขึ้น แต่ถ้าใช้ผิดวิธี อาจทำให้ผมมันเยิ้มและเหนียวเหนอะหนะได้

1. ประโยชน์ของน้ำมันใส่ผม

เพิ่มความชุ่มชื้น → ป้องกันเส้นผมแห้งและเปราะขาดง่าย
ช่วยให้ผมนุ่มลื่น ไม่พันกัน → ลดปัญหาผมชี้ฟู จัดทรงง่ายขึ้น
ปกป้องเส้นผมจากความร้อน → ใช้ก่อนหนีบผมหรือเป่าผม เพื่อลดความเสียหายจากอุปกรณ์ทำผม
ลดปัญหาผมแตกปลายและขาดร่วง → เสริมความแข็งแรงให้เส้นผม
ช่วยบำรุงหนังศีรษะ → กระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม (ขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำมัน)

2. เลือกน้ำมันใส่ผมให้เหมาะกับเส้นผมของคุณ

สำหรับผมแห้งเสีย แตกปลาย:
➡ แนะนำ น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil) และ น้ำมันมะกอก (Olive Oil) ช่วยเติมความชุ่มชื้นลึกถึงแกนผม

สำหรับผมชี้ฟู จัดทรงยาก:
➡ ใช้ น้ำมันอาร์แกน (Argan Oil) หรือน้ำมันโจโจบา (Jojoba Oil) ช่วยให้ผมเรียบลื่นและเงางาม

สำหรับผมมัน:
➡ แนะนำ น้ำมันเมล็ดองุ่น (Grapeseed Oil) หรือ น้ำมันโจโจบา (Jojoba Oil) เพราะซึมไว ไม่ทิ้งความมัน

สำหรับหนังศีรษะแห้ง คัน และมีรังแค:
➡ ใช้ น้ำมันโรสแมรี่ (Rosemary Oil) หรือ น้ำมันทีทรี (Tea Tree Oil) ช่วยลดอาการคันและกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม

3. วิธีใช้น้ำมันใส่ผมให้ได้ผลดีที่สุด

ใช้ก่อนสระ (Pre-wash Treatment)
✔ ชโลมน้ำมันลงบนเส้นผมและหนังศีรษะ 30-60 นาที ก่อนสระผม เพื่อบำรุงลึกและป้องกันผมแห้งหลังสระ

ใช้หลังสระผม (Leave-in Treatment)
✔ หลังสระผม ใช้น้ำมันเพียง 1-2 หยด ลูบเบาๆ ที่ปลายผม เพื่อเพิ่มความเงางามและลดการพันกัน

ใช้ก่อนจัดแต่งทรงผม (Heat Protection)
✔ ทาน้ำมันเล็กน้อยก่อนใช้ไดร์เป่าผมหรือเครื่องหนีบผม เพื่อป้องกันความร้อนทำร้ายเส้นผม

หมักผมสัปดาห์ละครั้ง (Deep Conditioning)
✔ ใช้น้ำมันชโลมทั่วศีรษะ หมักไว้ 1-2 ชั่วโมง หรือข้ามคืน แล้วล้างออกด้วยแชมพู

4. ข้อควรระวังในการใช้น้ำมันใส่ผม

อย่าใช้เยอะเกินไป → ใช้เพียง 1-2 หยด หากใช้มากไปจะทำให้ผมมันเยิ้มและเหนียว
อย่าทาน้ำมันที่โคนผม (ถ้าไม่ต้องการบำรุงหนังศีรษะ) → อาจทำให้หนังศีรษะมันเร็ว
อย่าหมักผมด้วยน้ำมันนานเกินไป (ข้ามวัน) → อาจทำให้เกิดการอุดตันของหนังศีรษะและทำให้เกิดรังแค
เลือกน้ำมันให้เหมาะกับสภาพผม → ผมเส้นเล็กควรใช้น้ำมันที่เบา เช่น น้ำมันโจโจบา ไม่ควรใช้น้ำมันมะพร้าวที่หนักเกินไป

4. กินอะไรช่วยให้ผมแข็งแรง ไม่หลุดร่วง?

หากคุณมีปัญหาผมร่วง ผมบาง หรือผมไม่แข็งแรง อาหารที่คุณกินมีผลอย่างมาก! การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และโปรตีนที่จำเป็น ช่วยบำรุงรากผมและลดการหลุดร่วง ได้

อาหารบำรุงเส้นผมที่ควรรับประทาน

  1. โปรตีน: เส้นผมประกอบด้วยโปรตีนเป็นหลัก ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว และผลิตภัณฑ์จากนม จึงช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเส้นผมที่อ่อนแอ
  2. ธาตุเหล็ก: ธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮีโมโกลบิน ซึ่งมีหน้าที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงหนังศีรษะ การขาดธาตุเหล็กอาจทำให้ผมร่วงได้ ดังนั้นควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น เนื้อแดง ผักใบเขียวเข้ม และถั่ว
  3. สังกะสี: สังกะสีมีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของเส้นผม และช่วยควบคุมการทำงานของต่อมไขมันบนหนังศีรษะ อาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม เนื้อสัตว์ และถั่ว
  4. ไบโอติน: ไบโอตินเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นผม และลดการหลุดร่วง อาหารที่มีไบโอตินสูง ได้แก่ ไข่ ถั่ว และธัญพืช
  5. วิตามินซี: วิตามินซีช่วยในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของโครงสร้างเส้นผม นอกจากนี้วิตามินซียังช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กอีกด้วย ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ส้ม ฝรั่ง และมะเขือเทศ
  6. วิตามินเอ: วิตามินเอช่วยในการผลิตน้ำมันบนหนังศีรษะ ซึ่งช่วยให้เส้นผมชุ่มชื้นและแข็งแรง อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ แครอท ฟักทอง และผักใบเขียว
  7. โอเมก้า 3: กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยบำรุงหนังศีรษะ และลดการอักเสบ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของผมร่วง อาหารที่มีโอเมก้า 3 สูง ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และเมล็ดแฟลกซ์

เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ช่วยให้ร่างกายชุ่มชื้น และส่งผลดีต่อสุขภาพเส้นผม
  • หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนกับเส้นผม: การใช้ไดร์เป่าผม เครื่องหนีบผม หรือเครื่องม้วนผม อาจทำให้ผมแห้งเสียและแตกปลายได้ ควรปล่อยให้ผมแห้งตามธรรมชาติ หรือใช้ความร้อนให้น้อยที่สุด
  • หวีผมอย่างอ่อนโยน: การหวีผมแรงๆ อาจทำให้ผมขาดร่วงได้ ควรใช้หวีซี่ห่าง และหวีผมอย่างเบามือ
  • จัดการความเครียด: ความเครียดอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของผมร่วง ควรหา วิธีจัดการความเครียดที่เหมาะสม เช่น การออกกำลังกาย การทำสมาธิ หรือการพักผ่อนให้เพียงพอ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *